รถยนต์ไร้คนขับ เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับในปัจจุบันถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาพลังงานปิโตรเลียม ความต้องการของผู้บริโภคสำหรับพลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยแรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแบตเตอรี่หรือรูปแบบอื่นของการเก็บพลังงานไฟฟ้า หมายถึง ยานพาหนะ โดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 ส่วน ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่สร้างความแตกต่างระหว่างรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เป็นแบตเตอรี่ที่เก็บพลังงานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ตอนนี้พวกเขาใช้ลิเธียมไอออน ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ชนิดเดียวกับที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือ จำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและส่วนประกอบภายในของระบบส่งกำลัง เช่น มอเตอร์ไฟฟ้าและอินเวอร์เตอร์
ส่วนประกอบของ รถยนต์ไร้คนขับ
- Computer Vision
ระบบที่ทำหน้าที่เป็นตาและหูให้กับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ โดยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมเมื่อรถวิ่ง - Deep Learning
ระบบประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ ทำหน้าที่เหมือนสมองของรถยนต์ไร้คนขับ เป็นระบบที่ทำให้รถยนต์อัตโนมัติสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง จากการประมวลผลข้อมูลที่รับมาจากระบบ Computer Vision - Robotic
ระบบที่เชื่อมต่อระบบประมวลผลส่วนกลางเข้ากับระบบเครื่องจักรต่างๆ ในตัวรถ โดยทำหน้าที่เสมือนเส้นประสาทที่เชื่อมต่อสมองของมนุษย์เข้ากับแขนขาและส่วนต่างๆ ของร่างกาย - Navigation
ระบบแผนที่ ซึ่งประกอบด้วยระบบการระบุตำแหน่งของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจากดาวเทียม และระบบแผนที่เสมือนจริงที่เก็บรวบรวมข้อมูลในคลังข้อมูลดิจิทัล ทั้งนี้ข้อมูลที่เก็บคือข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งของรถบนถนน เช่น ตำแหน่งของไฟจราจร ตำแหน่งทางม้าลาย ป้ายสัญญาณห้ามเลี้ยวขวา ความกว้างของเลนถนน รวมถึงความเร็วสูงสุดที่กฎหมายอนุญาตให้รถวิ่งได้ในถนนแต่ละเส้น รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจะใช้ระบบแผนที่ซึ่งประมวลผลร่วมกับระบบ Sensor เพื่อเพิ่มความถูกต้องและแม่นยำในการตัดสินใจ
รถยนต์ไร้คนขับใช้ระบบปฏิบัติการขับเคลื่อนที่เรียกว่า Automated Driving Systems หรือ ADSs โดยในขณะนี้ มีเทคโนโลยีระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติ Advanced Driver Assistance Systems หรือ ADAS เป็นเครื่องมือควบคุมการขับขี่ ซึ่งเปรียบเทียบได้กับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของเครื่องบิน โดยระบบ ADAS มีส่วนประกอบ เช่น ระบบควบคุมการขับขี่อัตโนมัติ ระบบหลีกเลี่ยงการชน ระบบช่วยจอด ระบบคุมการขับขี่ในช่องทางจราจร และบรรดาเซนเซอร์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่รอบรถเพื่อตรวจสอบวัตถุในระยะไกลและใกล้ เป็นต้น โดยองค์กรบริหารความปลอดภัยบนท้องถนนของสหรัฐอเมริกา (National Highway Traffic Safety Administration – NHTSA) ได้แบ่งระดับการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ 6 ระดับ คือ
- ระดับ 0 เป็นระบบที่ใช้ในการบังคับและควบคุมด้วยมนุษย์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก ดั่งเช่น รถยนต์สมัยก่อนที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำในการขับขี่
- ระดับ 1 ผู้ช่วยในการขับเคลื่อน เป็นการเพิ่มฟังก์ชั่นผู้ช่วยในการขับเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเข็มบอกความเร็วว่า ขับที่ความเร็วเท่าไหร่ ตลอดจนควบคุมความเร็วของตัวยานพาหนะ
- ระดับ 2 ระบบอัตโนมัติบางส่วน จะเป็นการควบคุมระบบอัตโนมัติในการบังคับพวงมาลัยและความเร่ง โดยที่มนุษย์นั้นสั่งการจากระบบหน้าจอเป็นบางครั้ง
- ระดับ 3 ระบบอัตโนมัติสามารถขับเคลื่อนไปได้ในระยะไกล ในจุดนี้ระบบอัตโนมัติจะมีความสามารถในการตรวจจับสิ่งแวดล้อม และสามารถบังคับควบคุมยานพาหนะนั้นได้ในระยะทางที่ไกลเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าระดับ 2
- ระดับ 4 ระบบอัตโนมัติระดับสูง ยานพาหนะนั้นจะสามารถบังคับขับเคลื่อนและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใต้สภาวะที่เกิดขึ้นใน ณ ขณะที่ยานหานะเคลื่อนที่ ไม่ว่าจะเป็นหลบหลีกสิ่งกีดขวาง มีรถเลี้ยวออกมาจากซอย อีกทั้งเตือนถึงความเร็วที่มากจนเกินไปในขณะขับขี่ โดยที่มนุษย์นั้นมีส่วนในการบังคับควบคุมนั้นน้อยมากๆ หรือแทบจะไม่ต้องบังคับเลย
- ระดับ 5 ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ยานพาหนะสามารถเคลื่อนที่ไปตามท้องถนนและวิเคราะห์สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ในแต่ละเงื่อนไขด้วยตัวเองในระหว่างยานพาหนะเคลื่อนที่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์
อุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไร้คนขับ
ผู้พัฒนารถยนต์ไร้คนขับเชื่อว่าประโยชน์สูงสุดคือการลดอุบัติเหตุทางจราจร ซึ่งมักเกิดจากมนุษย์ ยังช่วยลดภาระในชีวิตประจำวันของมนุษย์ได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยเฉพาะผู้สูงอายุมักมีปัญหาในการขับขี่เนื่องจากข้อจำกัดทางร่างกาย ปฏิบัติตามกฎจราจรและทำให้การจราจรสะดวกสบายไร้ปัญหาการจราจรติดขัด ทั้งนี้ เนื่องจากรถทุกคันสามารถขับเคลื่อนได้อย่างเป็นระเบียบด้วยการขับขี่แบบไร้คนขับ อีกทั้งผู้พิการ เช่น ผู้พิการทางสายตาสามารถใช้รถได้อย่างปลอดภัยและปลอดภัย
รถยนต์ไร้คนขับก็เหมือนกับนวัตกรรมอื่นๆ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ อีกทั้งมีอุปสรรคมากมายในการทดสอบและพัฒนา เช่น เกิดอุบัติเหตุในเดือนมีนาคม 2561 รถไร้คนขับของ Uber ผู้ให้บริการแชร์รถกำลังถูกทดสอบเมื่อชนเข้ากับ Ellen Hertzberg วัย 49 ปี ซึ่งกำลังลากจักรยานบนถนนในรัฐแอริโซนาในตอนกลางคืน ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในโรงพยาบาล ความเห็นจากตำรวจสืบสวนกล่าวว่า Uber อาจไม่มีส่วนผิดต่ออุบัติเหตุครั้งนี้ คืนนั้นทัศนวิสัยแย่มากจนวิญญาณเดินข้ามถนนในระยะประชิด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผู้คนตั้งคำถามว่านวัตกรรมรถยนต์ไร้คนขับนี้เป็นไปได้หรือไม่ หากเกิดขึ้น อาจเป็นเทคโนโลยีที่ทำร้ายเราก็เป็นได้ หรือปัญญาประดิษฐ์?
ผู้พัฒนารถยนต์ไร้คนขับได้ยืนยันเช่นกัน ข้อดีคือความปลอดภัย เกิดอุบัติเหตุน้อยกว่ายานพาหนะที่ควบคุมโดยมนุษย์ เนื่องจากรถเหล่านี้ได้รับการออกแบบให้ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ความแม่นยำของเซ็นเซอร์ในรถยนต์ยังช่วยให้สามารถหยุดรถได้ทันทีหากเกิดอุบัติเหตุ เพียงแต่ต้องรอให้มีการพัฒนาระบบที่สมบูรณ์เสียก่อน อุบัติเหตุไม่สามารถป้องกันได้ 100% เสมอไป รถยนต์ไร้คนขับ